Friday, 16 November 2012

หุ้นเสียวหน้าผา ถลาลงมาให้เลือก

« โค้งปลายปีที่ตลาดหุ้น | Main | นักวิเคราะห์คาดปี 56 หุ้นสดใส สิ้นปีหน้าดัชนี 1,471 จุด  »

ดัชนีหุ้นไทยยอมปรับตัวลงมาแล้ว 40 จุด จากยอดสูงสุดครั้งก่อนที่ประมาณ 1,313 จุด   เป็นการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสำคัญของโลก  ด้วยประเด็นข่าวความเสียวไส้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเจอหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff)  บวกกับสภาพปัญหาในยูโรโซน และซ้ำอีก 1 ดาบด้วยข่าววานนี้ที่อิสราเอลโจมตีกองกำลังปาเลสสไตน์ในเขตฉนวนกาซ่า

                สภาพการณ์ก่อนหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยไต่ยาวขึ้นมาแตะระดับ 1,300 จุด จากนั้นราวกับอาถรรพ์หมายเลข 13 (พูดเล่นนะครับอย่าจริงจัง)  ดัชนีหุ้นไทยก็เริ่มรวนเรเซลงมาเฉียด 1,280 จุด กับ 1,270 จุด ซึ่งเลขสวยกว่า   โดยที่นักวิเคราะห์สายปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ก็เริ่มแสดงความเห็นว่าดัชนีที่ 1,300 จุดนั้น ค่า P/E 55F ซึ่งใช้ค่าผลกำไรที่คาดการณ์ถึงสิ้นปี 55 แล้วก็สูงใกล้ 15 เท่า ซึ่งมีหุ้นมากมายที่เต็มมูลค่า  บางส่วนก็เกินมูลค่า  แต่ก็มีบางส่วนที่ยังต่ำกว่ามูลค่าให้เลือกเฟ้นลงทุนแบบคุ้มกับราคาที่จ่าย

             แต่ถ้าถามระยะยาว 1 ปีของหุ้นไทย  นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักก็คาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นคงจะพลิกกลับขึ้นไปใหม่  และผ่านเลข 13 คูณ 100 หรือ 1,300 จุด ไปได้สำเร็จ  ผมเองก็ยอมเชื่อด้วยคน แม้จะรู้สึกว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของโลกนี้มีอยู่มาก  เหตุผลบางส่วนประกอบไปด้วย

 

              1.    ปัญหาหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff)  ซึ่งเป็นความเสี่ยงของสหรัฐ หากประธานาธิบดีโอบามาตกลงกับสภาคองเกรส (ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นรีพับลิกัน)ไม่ได้ในเรื่องงบประมาณการคลังภายในช่วงสิ้นปีนี้ จะก่อให้เกิดภาวะ Fiscal Cliff หรือภาวะที่มาตรการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่ายขนาดใหญ่ถึง 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติในต้นปี 56 อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย

           อย่างไรก็ตาม ผมคาดว่าที่สุดแล้วช่วงท้ายปลายปี 55  ทั้ง 2 ฝ่ายน่าจะขยับแนวคิดมาเจอกันใกล้กึ่งกลางเพื่อตกลงกันให้สำเร็จ  การปรับลดรายจ่ายและเพิ่มภาษีบางส่วนคงเกิดแน่ แต่จะเป็นการทยอยทีละลำดับในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า  ปี 56 จึงไม่ถึงขนาดหน้าผาการคลัง ซึ่งแค่ข่าวตกลงกันได้ทันนี้ก็อาจช่วยให้หุ้นโลก Rebound ขึ้นได้ช่วงสิ้นปีนี้ต้นปีหน้า

              2.    เรื่องราวอิสราเอลถล่มกองกำลังปาเลสสไตน์  ไม่น่าจะไปเป็นเรื่องใหญ่มาก  จนเป็นการเหยียบซ้ำปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

 

              3.    หลังเลือกตั้งสหรัฐ เมื่อโอบามากลับมาเป็นประธานาธิบดีอีก 4 ปี แนวคิดและแนวนโยบายที่เคยประกาศก้องทำให้คาดได้ว่า สภาพทางเศรษฐกิจสหรัฐคงยังลุ่มๆ ดอนๆ การไปปรับขึ้นสารพัดภาษีเงินได้ที่เก็บจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง โดยดูแลผู้มีรายได้น้อย  และไม่บีบรัดรายจ่ายของรัฐ รวมถึงบรรดาสวัสดิการดูแลสุขภาพนั้น  ทำให้โอบามาได้คะแนนเลือกตั้งดี  แต่ในมุมการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วไม่ดี  กำลังซื้อจากผู้มีรายได้สูงนี่แหละที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนกำลังซึ่งที่สำคัญของเศรษฐกิจ

             สภาพนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐพร้อมๆ กับยุโรปดูอ่อนล้ากว่าเศรษฐกิจเอเซียและไทย    เม็ดเงินลงทุนหุ้นโลกจึงน่าจะเอียงอยู่ฝั่งนี้  ุ้นไทยจึงน่าจะพอตะกายกลับขึ้นไปได้

 

              4.    การมี QE3 และดอกเบี้ยเตี้ยติดดินของสหรัฐ   ลากกันอีกยาวไกลกลางปี 58   ในมุมนี้ ทำให้มีเม็ดเงินวิ่งพล่านไปลงทุนพันธบัตรประเทศที่สถานะการเงินแข็งแรง  รวมถึง ไทยด้วย

              

               Bond Yield ของสหรัฐชนิด 2 ปี กับ 5 ปี อยู่ที่ 0.25% กับ 0.62% ต่อปีที่ต่ำเตี้ยสุดๆ

               ผมเหลียวตาดูตัวเลขผลตอบแทนพันธบัตรชนิด 5 ปีของไทยช่วงนี้ก็ลงมาอีก  อยู่ที่ประมาณ 3.1%   ธปท. เองก็ยอมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปเมื่อ 17 ต.ค. เหลือ 2.75% จากแนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวเป็นแรงกดดัน

               ตลาดหุ้นไทยจึงได้แรงช่วยจากปัจจัยดอกเบี้ยต่ำเป็นแรงหนุนที่สำคัญ ระดับดัชนีที่ 1,280 จุด หุ้นใน SET50 ได้ปันผลเฉลี่ยประมาณ 3.6% ข้อมูล SAA Consensus ของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ  www.saa-thai.org)  ซึ่งสูงกว่า Bond Yield ชนิดยาวถึง 5 ปีด้วยซ้ำ

               สำหรับผมแล้วมองว่า  อัตราดอกเบี้ยไทยที่ค่อนข้างต่ำ (เป็นผลจากการที่โลกนี้มี QE และนโยบายดอกเบี้ยเตี้ยติดดินในประเทศยักษ์ใหญ่ 2 ทวีป)   เป็นตัวแปรหลักที่ยกระดับราคาหุ้นและอัดฉีดเศรษฐกิจในประเทศ

               เลือกลงทุนไม่ใช่กวาดทั้งกระดาน

                 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้ธุรกิจที่มีส่วนผสมของภาคส่งออกมากประสบกับความยากลำบากในการขยายกำไร  ซึ่งควรจะมีผลให้ราคาหุ้นนั้นขึ้นลำบาก

               แต่ประเด็นของอัตราดอกเบี้ยโลกต่ำและลากยาว  บวกกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจภายนอกทำให้ดอกเบี้ยไทยอาจต้องลดต่ำลงอีก

               เมื่ออัตราดอกเบี้ยไทยค่อนข้างต่ำ  และอาจต่ำลงอีก จะทำให้ธุรกิจที่มีตลาดภายในประเทศเติบโตได้ในภาวะที่โลกซบเซา กลุ่ม Domestic Play ที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญก่อนหน้านี้ ก็น่าจะต่อเนื่องอีกในยุคโอบามา 2

 

                หมวดธุรกิจที่คุณผู้อ่านต้องไปเลือกเฟ้นเป็นรายตัว  ที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อในประเทศและแรงหนุนจากดอกเบี้ยต่ำในปี 56 ได้แก่

               + ธนาคารพาณิชย์

               + ค่าปลีกในประเทศ

               + ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย

               + วัสดุก่อสร้าง

               + สื่อและบันเทิง

               + สื่อสาร

               + ยานยนต์

              รายละเอียดของบทวิเคราะห์นั้น คุณผู้อ่านอาจขอจาก บล.ที่ท่านใช้บริการ  หรือหากอยากได้จากหลายสำนัก โดยเฉพาะสำนักที่ไม่ค่อยหาดูได้จากแหล่งต่างๆ ผมเชิญชวนให้หาซื้อ คู่มือผู้ลงทุนของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เล่มละ 150 บาท ที่รวบรวมบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ถ้วยรางวัลยอดเยี่ยม และสำนักวิจัยชื่อดัง 24 สำนัก ทองคำดัชนีอีก 6 สำนัก  ได้ที่งาน SET in the city พฤหัสบดี 22 ถึงอาทิตย์ 25 พ.ย.นี้ ที่สยามพารากอน ชั้น 5 ที่บูธของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ อยู่ใกล้เวทีสัมมนา 2 ด้านในครับ

 

              พูดถึงงานสัมมนา 2 วันแรกเวทีในเป็นหน้าที่ของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ ระดมขุนพลนักวิเคราะห์บรรยายตลอด 2 วัน ตัวผมเองนั้นพูดตอน 14.30-16.00 น.เชิญชวนคุณผู้อ่านมาฟังและทักทายกันนะครับ

               คุณผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัด อาจจะลำบากที่จะแวะมากรุงเทพ  ผมแนะนำให้ฝากซื้อคู่มือผู้ลงทุนผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดของ บล.สาขาจังหวัดของท่าน  ซึ่งทุกวัน บล.ต่างๆ จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่วิ่งมาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ  มาแวะที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้ง่ายๆ ครับ

 

              พบกันใหม่เดือนหน้าครับ
Posted by sombat at 11:28 AM in ฟิตเนสการลงทุน

 

[Trackback URL for this entry]

Comment: วิชัย เกรียงไกรยศ at Mon, 19 Nov 11:13 AM

1.อยากให้มีคู่มือการลงทุนฉบับแจกฟรีจากบล.ต่างๆที่เป็นสมาชิก
2.อยากให้มีประเด็นมุมมองเศรษฐกิจปีหน้าทั้งในและต่างประเทศ
3.อยากให้บริษัทสำคัญในตลาดหลักทรัพย์มาออกบูธตอบปัญหาการบริหารภายในอย่างสั้นๆเช่นการบินไทย และมีของชำร่วยแจก
4.ให้มีการลงทะเบียนในงานเพื่อ company visit บริษัท
ขนาดใหญ่
จึงอยากเสนอมาเพื่อให้คุณสมบัติรับข้อคิดเห็นนี้เสนอต่อผู้จัดงาน set in the city ต่อไปเพื่อช่วยพัฒนาตลาดแห่ง
การลงทุนต่อไป

5.บรรยายกาศของงานอยากให้เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆ

Comment: cee at Mon, 19 Nov 3:06 PM

ไม่ทราบว่า หนังสือคู่มือผู้ลงทุน สั่งซื้อแล้วให้ส่งมาได้ไหมค่ะ เบอร์ติดต่ออะไรค่ะ

Comment: สมบัติ นราวุฒิชัย at Tue, 20 Nov 10:13 AM

Very good article krub.

Comment: armangel at Tue, 20 Nov 10:42 AM

ขอบคุณมากค่ะ... อาจารย์

Comment: aura at Tue, 20 Nov 11:56 AM

Thanks....and see you there !

Comment: สมบัติ นราวุฒิชัย at Wed, 21 Nov 1:35 PM

พฤหัสที่22นี้พบกันนะครับ
โปรดทราบครับว่า มี2เวทีสัมนา ชอบไหนฟังนั่น เวทีของสมาคมนักวิเคราะห์อยู่ลึกสุดทางเดินห้อง และเลี้ยวขวาสุดอีกที พฤหัสบ่ายโมงมี ดร.ก้องเกี่ยรติ คุณไพบูลย์ นลินทรางกูร และคุณโสภาวดี(กบข)

14.30 มีสมบัติ นราวุฒิชัย ดร.นิเวศน์ คุณฐิภาYLG และคุณพีรพงศ์ บลจ.บัวหลวง เรียนเชิญนะครับ

ขอขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำต่างๆ ข้อมูลหลายๆส่วนมีอยู่ในคู่มือการลงทุนบ้างแล้วครับ ผมได้เชิญสำนักที่ได้รางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม และสำนักวิจัยใหญ่ๆ ทั้งหุ้น และทอง รวมกว่า 30ทีมวิจัย เช่นจาก ภัทร TISCO บล.ไทยพาณิชย์ เอเชียพลัส ฯลฯ ส่งบทวิเคราะห์เศรษฐกิจปี56 เจาะภาพรวมอุตสาหกรรมใหญ่5กลุ่ม

รวบรวมหุ้นเด่นปันผลดี หุ้นแกร่งฝ่าเศรษฐกิจโลก หุ้นเด็ดพื้นฐานดี หุ้นดีP/Eต่ำ อยู่ในเล่ม
กลยุทธ์ลงทุน คุณกวีผู้เขียน บอกว่าไม่เขียนภาพสั้นถึงกลางซ้ำปกติ เพราะเล่มนี้ปีละ2ฉบับจึงเขียนมุมมองระยะยาวหลายปีที่จะเกิดกับการลงทุน
แถมมีรวบรวมรายการวิทยุและทีวีที่ต้องติดตามเพื่อการลงทุนอีกด้วย
เล่มนี้ขอโทษด้วยที่ไม่สามารถแจกฟรี ช่วยค่าพิมพ์ให้สมาคม 150บาทนะครับ

ติดต่อเจ้าหน้าทีสมาคมนักวิเคราะห์ 02-229-2329 อาจต้องเป็นจันทร์ที่26พย.เพราะช่วง 22-25อยู่ที่บูธสมาคมในงานที่พารากอนครับ

Your comment:

(not displayed)
Code:
 
 
 

Live Comment Preview:

 
« November »
SunMonTueWedThuFriSat
    123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930