Wednesday, 27 June 2012
ภาระหรือพารุก
« บ่นไปไร้ค่า...หาวิธีรับเงินเฟ้อดีกว่า | Main | อีกมุมคิดกับรถคันแรก »ช่วง 3-4 เดือนล่าสุด ผมมีข้อสังเกตว่า ในแวดวงตลาดทุนของประเทศไทย มีการพูดถึงประเด็นของงานวิเคราะห์หุ้นกันมากเป็นพิเศษ ทั้งมุมสนับสนุนและมุมโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับ บล.ให้ทำงานวิเคราะห์วิจัยดีหรือไม่ หรือควรปล่อยเสรีไม่มีการบังคับกัน หรือจะมีทีมวิจัยอิสระมารับงานไปบางส่วนดี หรือ ฯลฯ
ผมพยายามนึกย้อนเวลาไปนานๆ กว่า 20 ปี เท่าที่ผมมีโอกาสอยู่ในแวดวงวิเคราะห์การลงทุน น่าจะไม่มีเวลาใดเลยที่การถกประเด็นเกี่ยวกับงานวิเคราะห์วิจัยหุ้นและการลงทุนจะมีฝ่ายหนุนโต้กับฝ่ายค้านสูสีใกล้เคียงกันได้ขนาดนี้
ที่ผ่านมาในอดีต ส่วนใหญ่ไม่ค่อยโต้แย้งกันมาก คือถ้ากระแสทำบทวิจัยมา ก็แทบไม่มีใครค้าน ทุกคนพร้อมใจแข่งกันทำ และพอกระแสลดทีมวิจัยลงมาหลังปี 2541 ก็แทบไม่มีการโต้แย้งคัดค้าน
อดีตยุคทองบริการงานวิเคราะห์
ยุคปี 2531 จนถึง 2540 เป็นยุคที่ทุก บล.แข่งขันงานวิเคราะห์วิจัยกันอย่างสั่นสะท้านแผ่นดิน ทุก บล.ทุ่มทุนพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์การวิเคราะห์วิจัย แย่งกันนำเสนอสู่นักลงทุน ถือเป็นการแข่งขันที่สนุกสนานรุกอย่างมีคุณภาพ
ยุคนั้นผมเคยอยู่ในทีมวิจัยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ในช่วงปี 2540 จำได้ว่าทีมที่ผมอยู่และทีมคู่แข่งสำคัญๆ หลายทีมมีนักวิเคราะห์ 30-40 คน ต่อทีม ทีมขนาดกลางๆ ก็มีระดับ 10-20 คนต่อทีม
ยุคหดตัวโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ยุค 2541 ยามยากของ บล. หลังต้มยำกุ้งระเบิด บล.ต่างๆ ก็ยังแข่งขันบริการและงานวิจัย ถึงแม้ทีมต่างๆ จะมีนักวิเคราะห์ลดลงเหลือ 5-10 คนต่อทีม ทีมใหญ่หน่อยก็เกินกว่า 10 คนไปบ้าง สามัคคีกันปรับลดขนาดโดยไม่มีใครมาโต้แย้งในยามยาก แต่ก็เห็นความจำเป็นของการต้องมีทีมวิเคราะห์วิจัยเหลืออยู่
ยุคปลายปี 2544 ถือเป็นยุคตกต่ำที่สุด ของการทำงานวิเคราะห์วิจัยการลงทุน เนื่องจากมีการเปิดเสรีราคาค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นจาก 0.50% เป็นแข่งเสรีอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับมากำหนดขั้นต่ำของราคา ทำให้กระแสหดตัวของวิเคราะห์วิจัยไหลลงไปเหลือเฉลี่ย 3-8 คนต่อทีม
ยุคนี้ได้รับการประคับประคองด้วยการที่ ปี 2549 สมาคมนักวิเคราะห์ฯ หารือกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะนั้น (คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และเห็นตรงกันที่ บล. ควรจะมีนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างต่ำ 4 คน ในช่วงเวลาที่ ตลท. จะยืดเวลาการเปิดเสรีราคาค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นออกไปให้ 3 ปี (2550-2552) ตามด้วยขั้นบันไดอีก 2 ปี
2555 ประเด็นที่เห็นแย้งกัน
มกราคม 2555 ช่วงเวลาเปิดเสรี ซึ่งรวม ถึงราคาค่าคอมมิชชั่น รวมไปถึงงานวิเคราะห์การลงทุนด้วย
ตลอดเวลา 2 ปี ก่อนวันเปิดเสรีที่ว่านี้ ฝ่ายสนับสนุนให้มีการทำงานวิเคราะห์การลงทุน ซึ่งนำเสนอโดยสมาคมนักวิเคราะห์ฯ สู้กระแสส่วนใหญ่ไม่ได้ ผู้สนับสนุนอื่นๆ ที่มีประปรายได้แก่ นายกสมาคม บล.(คุณภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ) CEO บล.และ บลจ.บางแห่ง (เช่น คุณมนตรี ศรไพศาล, คุณวรวรรณ ธาราภูมิ, คุณภควัต โกวิทวัฒนพงศ์และอีกหลายๆ ท่าน) ที่ไม่อยากให้เกิดการแข่งขันราคาจนไปลดงานวิเคราะห์วิจัยก็มาช่วยพูดเป็นระยะ แต่ก็ค้ำไม่อยู่
แต่ 3-4 เดือนนี้ กระแสเริ่มพลิกกลับไปทางต้องการเห็นงานวิเคราะห์การลงทุน ทั้ง ก.ล.ต., ตลท. ต่างต้องการให้มีงานวิเคราะห์การลงทุนไว้บริการแก่ประชาชนผู้ลงทุนอย่างเพียงพอ กระทั่งรองนายกกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตนักวิเคราะห์ และอดีตผู้จัดการ ตลท. ในยามมาเปิดงานใดๆ ในตลาดทุน ก็เดินบอกกับ บล.ต่างๆ อยู่เสมอว่า ให้แข่งคุณภาพอย่าแข่งราคา
ผมลองรวบรวมประเด็นที่เห็นแย้งกันในขณะนี้ ได้แก่
1. เลขาธิการ ก.ล.ต. รวมถึง ผอ.หลายท่านมีท่าทีกังวลเรื่องจำนวนบทวิเคราะห์หุ้นทางปัจจัยพื้นฐานมีน้อยเกินไป จาก SAA Consensus ประมาณ 250 หุ้นใน 5 ปีก่อน ลดมาเหลือ 160-180 หุ้นในปีนี้ ทั้งๆ ที่จำนวนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเกือบ 600 หุ้น และมากขึ้นทุกๆ ปี จึงมีท่าทีจะสั่งให้ บล.ที่ให้บริการลูกค้ารายย่อยต้องรับผิดชอบทำบทวิเคราะห์วิจัยทางปัจจัยพื้นฐานจำนวนหนึ่ง เป็นขั้นบันไดตามมาร์เก็ตแชร์ จาก 15 หุ้น ไปจนถึง 100 หุ้น ตามลำดับไป
ก.ล.ต.เริ่มจับทางได้ว่า เมื่อมีโบรกเกอร์หลายรายลดงานวิเคราะห์ รายใหญ่ๆ ที่เคยทำมากก็ทำน้อยลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นธรรมชาติของการแข่งขัน เมื่อคู่ต่อสู้มีอาวุธน้อยลงเราก็ไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากนัก แต่ถ้าคู่ต่อสู้เสริมอาวุธยุทโธปกรณ์มาก เราก็คงต้องเพิ่มอาวุธขนานใหญ่ขยับขึ้นไป
บล.หลายแห่งมีท่าทีไม่เห็นด้วยที่ ก.ล.ต.จะบังคับให้ต้องทำบทวิเคราะห์ ส่วนหนึ่งอาจยังรู้สึกว่า งบประมาณที่ใช้ทำทีมวิเคราะห์การลงทุนเป็นภาระที่หนักหนา ซึ่งในบางจังหวะก็อยากยืดหยุ่นปรับลดหรือเพิ่มตามจังหวะ จึงไม่อยากถูกบังคับให้ต้องทำ
2. ทีมวิเคราะห์เป็นภาระหรือพารุกกันแน่
ในขณะที่ บล. หลายแห่งมองเสมอว่า การมีทีมวิเคราะห์เป็นภาระค่าใช้จ่ายมากพอสมควร คือราว 5-6% ของค่าใช้จ่ายรวม
แต่อีกหลายๆ บล.กลับมองทีมวิเคราะห์การลงทุนเป็นสิ่งที่พารุก ทำให้บริษัทเปิดเกมรุก เหมือนทีมฟุตบอลที่ต้องมีผู้เล่นแดนกลางที่คุมจังหวะ คอยสร้างสรรค์เกมรุกที่หลากหลายเปิดบอลต่อไปยังเจ้าหน้าที่การตลาดที่เป็นผู้เล่นแดนหน้าให้เข้าทำประตูปิดเกมส์ได้อย่างไหลลื่นต่อเนื่อง
สงสัยไหมครับทำไม บล. ที่พัฒนางานวิเคราะห์ไม่หยุดยั้งมาตลอด 20 ปี ทำไมทุกวันนี้ก็ยังมุ่งมั่นอยู่ เหมือนทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ต่อเนื่องแบบ แมนยู
และก็มีอีกหลายๆ สำนัก ที่เร่งพัฒนาใน 5-10 ปีมานี้ สามารถเร่งตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าของบริการด้านงานวิเคราะห์ที่มีคุณภาพ คล้ายๆ กับทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้และเชลซี
ตารางแสดงจำนวนนักวิเคราะห์ของแต่ละ บล.
อันดับ | บริษัทหลักทรัพย์ | มีเลขทะเบียน | ยังไม่มีเลขทะเบียน | รวม |
1 | เอเซีย พลัส | 14 | 5 | 19 |
2 | ทิสโก้ | 9 | 6 | 15 |
3 | กสิกรไทย | 13 | 2 | 15 |
4 | ภัทร | 11 | 3 | 14 |
5 | เคที ซีมิโก้. | 12 | 1 | 13 |
6 | ไทยพาณิชย์ | 11 | 2 | 13 |
7 | โนมูระ พัฒนสิน | 11 | 1 | 12 |
8 | บัวหลวง | 12 | 0 | 12 |
9 | เมย์แบงก์ กิมเอ็ง | 11 | 1 | 12 |
10-32 | 2-11 ต่อ บล. | |||
รวม | 258 | 39 | 297 |
ผมเองเห็นด้วยครับว่าความสามารถและบริการจากเจ้าหน้าที่การตลาดนั้นสำคัญมากกับผู้ลงทุน เหมือนศูนย์หน้าดีๆ แบบเวย์น รูนีย์ เพียงแต่ผลงานของทีมวิเคราะห์นั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าผู้เล่นแดนหน้าเลย
ผมเคยลองประมาณคร่าวๆ ดู พบว่า โดยเฉลี่ยทั้งระบบ บล.จ่ายค่าตอบแทนรวมให้ทีมงานแดนหน้า (เจ้าหน้าที่การตลาด) มากกว่าผู้เล่นแดนกลาง ฝาายวิเคราะห์) ประมาณ 10-15 เท่าตัว
3. ควรมีทีมวิจัยอิสระมารับงานวิเคราะห์หุ้นเล็กหรือไม่อย่างไร
หลายๆ ฝ่ายเห็นตรงกันแล้วว่า การลงทุนมีความเสี่ยง และประชาชนผู้ลงทุนที่ย้ายตัวเองมาจากการฝากเงินธนาคาร จำเป็นต้องได้รับบริการงานวิเคราะห์หุ้นทางปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่แค่คำแนะนำให้ซื้อขายจากเจ้าหน้าที่การตลาด หรือบทวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งไม่เพียงพอให้ประชาชนได้ชั่งตวงน้ำหนักความเสี่ยงทางธุรกิจกับโอกาสได้ฟันกำไร
แต่ความจริงประการหนึ่งคือ หุ้นที่มีขนาดมูลค่าตลาดและปริมาณการซื้อขายลำดับที่ประมาณ 101 ไปจนถึงอันดับ 500 กว่า แทบไม่มี บล.ใดสามารถเข้าไปศึกษาวิเคราะห์มาบริการต่อประชาชนผู้งทุน
ก.ล.ต.และ ตลท. ตลอดจนสมาคม บล. จึงหาหนทางที่จะให้มีหน่วยงานกลางมารับทำบทวิเคราะห์หุ้นเล็กๆ ที่ไม่มีใครทำแน่ๆ ที่ผ่านมามีบุคคลที่เสนอตัวขันอาสาทำโครงการที่ว่านี้ แต่เมื่อประเมินต้นทุนแล้ว จำเป็นต้องคิดค่าสนับสนุนจาก บล.ต่างๆ ในจำนวนที่สูงในมุมมองของ บล. แต่ตัวเลขที่ว่านั้น ทางผู้เสนอรับงานก็มองแล้วสมเหตุสมผลและไม่สูงเลย
มุมของ ก.ล.ต. เองก็คิดอีกแนวทาง เช่น หานักวิเคราะห์อาสา ซึ่งเป็นแนวที่น่าจะใช้ต้นทุนต่ำจากทีมงานอาสาสมัคร ซึ่งมุมนี้ผมเองมีความกังวลใจว่า ยากที่จะหาบุคคลที่มีประสบการณ์ตรงที่จะรับงานลักษณะอาสาสมัครเป็นช่วงเวลาต่อเนื่องที่ยาวนาน ซึ่งถ้าอาสามาได้ 5-6 เดือน ก็ถือว่าสั้นไปแล้ว การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทีมงานบ่อยๆ ทุกปี จะเป็นอุปสรรคต่อการผลิตงานวิเคราะห์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิตก็จะสะดุดได้
ทางสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เองก็เริ่มถูกทางสมาคม บล. ทาบทามให้เข้ารับทำบทวิเคราะห์หุ้นเล็กๆ เหล่านี้ ซึ่งในเบื้องต้น สมาคมนักวิเคราะห์ฯ กำหนดหลักการใหญ่ๆ ที่จะพิจารณาต่อไป ได้แก่ เรื่องกรอบของงานจะกว้างลึกขนาดไหนอยู่ในระดับที่สมาคมฯ จะนำไปดำเนินการได้จริงหรือไม่ ใครจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณโครงการนี้ ซึ่งต้องเป็นงบประมาณที่แน่นอนและยาวพอคือ 5 ปี รวมทั้งโครงการนี้ต้องไม่เกิดผลกระทบทางลบต่ออนาคตของนักวิเคราะห์ ฯลฯ
แม้ทุกวันนี้จะมีประเด็นที่ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่หลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องบทวิเคราะห์ตามที่กล่าวข้างต้น แต่ก็ถือได้ว่ามีพัฒนาการในทางที่ดีที่จะผลักดันให้มีบทวิเคราะห์คุณภาพและปริมาณมากขึ้น ถือเป็นข่าวที่ดีของบรรดาประชาชนผู้ย้ายเงินออมมาเสี่ยงในตลาดหุ้น
พบกันใหม่เดือนหน้าครับ
-------------------------------------------------------------
[Trackback URL for this entry]
คำตอบของคำถามที่ว่าใครจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณโครงการนี้ ซึ่งต้องเป็นงบประมาณที่แน่นอนและยาวพอคือ 5 ปี รวมทั้งโครงการนี้ต้องไม่เกิดผลกระทบทางลบต่ออนาคตของนักวิเคราะห์
นั้น ทางสมาคมนักวิเคราะห์ฯ และทางสมาคม บล.อาจให้ทุก บล. ลงเงินเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาบทวิเคราะห์หุ้นไทย วัตถุประสงค์เพื่อให้มีข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้นของหุ้นทุกตัวที่มีอยู่ในตลาดหุ้นไทย