Monday, 19 March 2012
บ่นไปไร้ค่า...หาวิธีรับเงินเฟ้อดีกว่า
« มังกรเลี้ยวลด ปลดปล่อยและท้าทาย | Main | ภาระหรือพารุก »ตอนนี้ทั่วทุกหย่อมหญ้าในประเทศไทย กำลังพูดถึงแต่เรื่องราคาสินค้าแพงขึ้น ราคาน้ำมันขึ้น ค่าบริการรถโดยสาร แท๊กซี่ขอปรับราคา ฯลฯ
นอกจากนั้น ตั้งแต่เดือน เม.ย.55 ที่ปฏิบัติการยกค่าแรงขั้นต่ำขึ้นร่วม 40%จะเริ่มมีผล นักวิเคราะห์และนักธุรกิจคาดหมายกันว่า คงมีผลต่อต้นทุนผลิตสินค้าอีกพอสมควร 2-6% ตามแต่ประเภทสินค้าว่ามีโครงสร้างต้นทุนมาจากค่าจ้างแรงงานมากน้อยแค่ไหน
โครงสร้างดัชนีราคาผู้บริโภค
ตัวเลขเงินเฟ้อหรือการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ล่าสุด (ก.พ.55) แสดงค่าว่ามีเงินเฟ้อ 3.35% เล่นเอาหลายๆ คนบ่นอุบว่าทำไมน้อยกว่าที่ตัวเองเจออยู่ในชีวิตจริง
เรื่องนี้ต้องพยายามนึกเอาเสียว่า ที่มาของสัดส่วนสินค้าและบริการที่ทางกระทรวงพาณิชย์คิดคำนวณ คงมาจากค่าเฉลี่ยของคนทั้งประเทศ
เราอาจมีชีวิตต่างจากคนโดยเฉลี่ยละมั้ง บังเอิญสินค้าและบริการที่เราใช้อยู่ดันแพงขึ้นมาโดยเฉพาะกับเราครับ
ลองมาดูโครงสร้างน้ำหนักของสินค้าและบริการในดัชนีเงินเฟ้อว่ามีอะไรบ้างนะครับ
1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 33.01%
มากสุดคือ อาหารสำเร็จรูป 14.45% รองลงมาคือ บรรดาเนื้อสัตว์ 5.73% ถัดไปก็ผักและผลไม้ 3.90% ฯลฯ
2. หมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 66.99%
แยกออกเป็นหมวดย่อยอีก คือ
2.1 พาหนะ ขนส่งและสื่อสาร 26.80%
ประมาณครึ่งนึงคือ ค่าน้ำมันและยานพาหนะ นอกนั้นก็ค่าโดยสารสาธารณะ 5% แล้วก็ค่าสื่อสารอีก 4%
2.2 เคหสถาน 23.48%
หลักๆ คือ ค่าเช่าบ้าน 15% นอกจากนั้นก็ได้แก่ ไฟฟ้าและประปาประมาณ 5%
2.3 อื่นๆ อีก 4 หมวด รวมกัน 16.71% เช่น ค่าตรวจรักษา บันเทิง การศึกษา เครื่องนุ่งห่ม สุรายาสูบ
หมวดที่ราคาขึ้นมากๆ เทียบกับปีก่อน (ม.ค.54) ก็คือ อาหารและเครื่องดื่ม 7.2% แต่ในช่วงรายเดือนจาก ม.ค.มา ก.พ.ก็เริ่มชะลอแล้ว
หมวดที่เหลืออื่นๆ เทียบกับกับ ม.ค. ปีก่อนก็ขึ้นไม่มากนัก แต่ถ้าดูรายเดือนล่าสุด หมวดขนส่งและพาหนะก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้น น่าจะเป็นไปตามราคาน้ำมัน
แนวโน้มเงินเฟ้อจะขึ้นเร็วขึ้น
ช่วง ต้นปีมานี้บรรดาราคาพลังงานเป็นตัวนำที่หิ้วดัชนีราคาขึ้นและคงขึ้นต่อไปอีก โดยบรรดาค่าขนส่งพาหนะที่หักค่าสื่อสารออกก็มีน้ำหนักถึง 22.32% กำลังมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความเสี่ยงที่หากเกิดเหตุตื่นเต้นกับอิหร่านขึ้น ราคาพลังงานก็พร้อมจะโดดขึ้นไปได้อีก 5-10%
ถัดจากราคาพลังงาน ก็คงต้องพูดถึงผลส่งต่อของค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นใน เม.ย.55 โดยเฉลี่ยแล้วต้นทุนคงถูกผลักขึ้นไป 2-6% ตามแต่ประเภทสินค้า
นอกจากนั้นผลทางอ้อมจากการที่คนจำนวนมากมีรายได้สูงขึ้นมากจากค่าแรง รวมไปถึงผลักเงินเดือนปริญญาตรีขึ้นไปด้วย น่าจะส่งผลไปถึงหมวดอาหาร โดยเฉพาะการบริโภคที่อิ่มเอิบขึ้น บรรดาเนื้อสัตว์ต่างๆ คงได้ขึ้นราคาตามปริมาณการบริโภคอีกรอบ
ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อเฉลี่ยของปีนั้น มีการปรับขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้ใกล้ 4% แล้ว
วิธีเตรียมรับเงินเฟ้อ
ผมคิดว่า เงินเฟ้อมาแน่ตามต้นทุนผลักเป็นส่วนใหญ่ และตามความต้องการบริโภคเป็นส่วนเสริม การประคับประคองผ่อนปรนให้ราคาขยับรับความเป็นจริงแบบไม่พรวดพราดน่าจะดีกว่าคิดฝืนกระแส
ลองมาดูว่า แต่ละกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ควรจะมีวิธีต้อนรับเงินเฟ้ออย่างไรดี
1. รัฐบาล ผ่อนปรนอยู่ตรงกลางไม่ขวางสุดลิ่มไม่ให้ขึ้นราคา แต่ก็ไม่ปล่อยให้ขึ้นเสรี 100% นอก จากนั้นก็ไม่ควรโอนผลักภาระไปให้กลุ่มอื่นแทน ยกตัวอย่างเช่น ช่วยคนใช้ดีเซล โดยโอนภาระจ่ายเงินเข้ากองทุนไปให้กลุ่มใช้เบนซินจ่ายแทน ซึ่งกลุ่มใช้เบนซิน ก็โดนภาระสินค้าขึ้นราคาแทบแย่อยู่แล้ว
2. ผู้ขายสินค้า ที่จริงจะมีผลกระทบที่ต่างกันฟ้ากับเหวระหว่าง
กลุ่มแรกได้ประโยชน์จากการที่คนไทยหลายล้านคนมีรายได้พุ่งพรวดขึ้นด้วยค่าแรงขั้นต่ำ และปรับเงินเดือนปริญญาตรี โดยเฉพาะถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเน้นขายในประเทศ แล้วก็ไม่มีต้นทุนค่าแรงมากนัก
กลุ่ม แรกที่ส้มหล่นนี้ น่าจะอยู่ในธุรกิจอาหาร ค้าปลีก ไปจนถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ราคาถูก ธนาคารพาณิชย์ กลุ่มนี้ไม่มีภาระที่น่าห่วงอะไร
กลุ่ม ที่ 2 ที่โชคร้ายหน่อย คงเป็นธุรกิจที่ใช้แรงงานหรือค่าขนส่งมาก ก็คงต้องหาทางลดต้นทุนแบบที่ไม่กระทบคุณภาพ หวังว่าคงไม่เผลอไปลดคุณภาพเพื่อลดต้นทุน เพราะนั่นอาจเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจตายสนิทจริงๆ ก็ได้
นอกจากนั้น คงต้องหาทางปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน บางธุรกิจเช่นผู้ผลิตเสื้อผ้าอาจต้องย้ายฐานผลิตไปประเทศข้างๆ
แต่ท้ายที่สุด ก็คงมีการทยอยปรับราคาสินค้าขึ้นไป 2-6% ซึ่งผมคิดว่าพอเข้าใจกันได้ แต่ไม่ควรปรับกระตุกพรวดเกินต้นทุน โดยอ้างว่าจะได้ไม่ต้องปรับบ่อยๆ อันนี้ผมว่าคนซื้อยอมให้ปรับขึ้นหลายครั้งทีละน้อยดีกว่าขึ้นพรวดไปก่อนเลยนะครับ
3. บรรดาลูกจ้าง
ผล จากเงินเฟ้อสูง คงทำให้บรรดาลูกจ้างทั้งหลายมีต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้นแน่นอน แต่ก็มีบางกลุ่มที่ได้ขึ้นค่าจ้าง หรือเงินเดือนพุ่งกระตุกขึ้นไปเร็วกว่าเงินเฟ้อ
อาจมีผลกระทบที่นายจ้างต้องคิดหนักเวลาจ้างใครต่อ หรือจ้างใครใหม่เพราะต้นทุนสูงขึ้นเยอะ แน่นอนว่าความคาดหวังที่มีต่อลูกจ้างก็มากขึ้นด้วย งานนี้คงต้องต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน และลูกจ้างต้องปรับตัวเพิ่มความสามารถให้คุ้มค่ากับค่าตัวด้วย เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้อยู่ในจอเรดาร์ของกลุ่มที่นายจ้างอยากปลดออก เพื่อลดต้นทุน
4. ผู้ซื้อสินค้า แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่ม แรก กลุ่มส้มหล่นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนป.ตรี แม้จะสบายขึ้นแบบกระทันหัน แต่ควรจะฝึกยับยั้งชั่งใจไม่รีบใช้จ่ายเพิ่ม การกระตุกพรวดเดียวที่ว่านั้น ถ้าจำไม่ผิด ค่าจ้าง 300 คงต้องแช่นิ่งในปีต่อไป ขณะที่เงินเดือนป.ตรีปีต่อไปคงขยับน้อยแล้ว
แต่ทางด้านของราคาสินค้าที่ถูกกระตุกตามหลังมา บางทีมันมีช่วงล่าช้าตามมาช้ากว่า ถ้าไม่เผื่อฝึกคุมเงินใช้จ่ายให้ดี หรือรีบไปมีหนี้มาบริโภค เช่น ป.ตรี รีบไปดาวน์รถรับมาตรการภาษีรถคันแรก อาจจะเกิดปัญหาได้ในปีต่อๆ ไปนะครับ
กลุ่มผู้ซื้อที่สองที่ไม่ส้มหล่นแต่กลายเป็นคานโฮปเวลล์หล่นมาทับ เพราะไม่ได้ปรับเงินเดือนทันเงินเฟ้อ แน่นอนว่า สูตรรัดเข็มขัดสัก 2% น่าจะเพียงพอ เพราะผมประเมินดูว่า ถ้าต้นปีที่ผ่านมา เราได้ปรับขึ้นเงินเดือนมาสัก 3-4% แล้วปีนี้เงินเฟ้อเกิดขยับไป 5% ช่วงรายเดือนก่อนถึงการปรับเงินเดือนรอบนี้ ก็ถือว่าขาดทุน แต่เฉลี่ยแล้วก็แค่ 1-2% ดูแล้วก็น่าจะปรับตัวได้ โดยลดการบริโภคลงมา 2% ก็น่าจะเอาอยู่ ไม่ถึงขั้นเดือดร้อนมาก
นอกจากนั้น คงต้องมีการกะจังหวะและจำนวนของที่จะซื้อครั้งละหลายชิ้นจากห้างร้านที่ราคาถูก ซึ่งต้องคำนวณค่าน้ำมันและค่าสึกหรอรถยนต์ให้ดีด้วยครับ คร่าวๆ ก็กิโลเมตรละ 5 บาทเฉพาะค่าน้ำมัน ถ้ารวมค่าสึกหรออื่นๆ ก็คงรวมเป็นกิโลเมตรละ 8-10 บาท แล้วแต่ขนาดรถ
5. ผู้กู้เงินธนาคาร
ถือซะว่าโชคดีในยามโชคร้าย เพราะที่ผ่านมากระแสรอบด้านอยากเห็นดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท.ถูกเข้าไว้ ประจวบ เหมาะกับประเทศยักษ์ใหญ่ก็กดดอกเบี้ยเตี้ยยิ่งกว่าเรา ผสมกับการอัดฉีดปริมาณเงินจากประเทศยักษ์ใหญ่ ทำให้กระแสเงินไหลเข้ามาบ้านเราก็เยอะ ช่วยให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยต่ำกว่าเงินเฟ้อ
ดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารจึงไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม หากเลยจากนี้ไปถึงกลางปี 55 เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้นกว่านี้ ผู้กู้ทั้งหลายก็คงต้องจับตาให้ดีว่าดอกเบี้ยครึ่งปีหลังจะสูงขึ้นหรือไม่ ทางที่ดีถ้ามีโอกาส Refinance ในดอกเบี้ยที่ถูกได้ในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นจังหวะดี
สำหรับผู้กู้ซื้อบ้าน โปรดอย่าลืมวิ่งหาข้อมูลดอกเบี้ย Refinance บ้านจากธนาคารอื่นๆ ด้วยครับ โดยเฉพาะท่านที่กู้มาหลายปีแล้ว ดอกเบี้ยเดิมมักจะสูง การได้ลดดอกเบี้ยสัก 2-3% ใน 3 ปีแรก อย่างที่ธนาคารเสนอให้ลูกค้าใหม่ ก็จะช่วยประหยัดไปได้เยอะครับ
ทุกๆ 1 ล้านบาท ถ้าลดไป 2-3% ก็หมายถึง ประหยัด 2-3 หมื่นบาทแล้ว
6. นักลงทุน/ผู้ออมเงิน
ปัจจุบันด้วยเงินเฟ้อ 3.3% ที่กำลังจะกลายเป็น 4-5% นั้น ทำให้การฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อ ทำให้สุทธิแล้วผู้ฝากขาดทุน และอย่าลืมว่ายังมีภาษีหักณ ที่จ่ายที่รัฐบาลเก็บจากดอกเบี้ยเงินฝากด้วยนะครับ
ถ้ามีเงินออมไม่เยอะก็คงไม่ต้องปวดหัวหาช่องทางฝากออมที่คุ้มค่า
แต่ถ้ามีเหลือเป็นแสนบาทไม่รวมเงินที่ต้องกันไว้ใช้ในระหว่างเดือน การปวดหัวมาคิดหาที่ฝากที่ลงทุนที่คุ้มค่าก็เริ่มจำเป็นครับ
พูดถึงออมทรัพย์ก่อน ปัจจุบันเป็นเงินฝากสุดฮิต เพราะถอนสะดวก แต่ส่วนใหญ่จ่ายดอกเบี้ยแค่ไม่เกิน 0.75%
อย่างไรก็ตาม ถ้าสะดวกเดินผ่านธนาคารบางแห่งบ่อยๆ ลองชะโงกดู บางธนาคารอาจจ่ายดอกเบี้ยออมทรัพย์ขึ้นไปเป็น 1% กว่า ถ้าอาจจ่ายกว่า 2% โดยมีเงื่อนไขให้ถอนได้เดือนละ 2-3 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งผมคิดว่าถ้าวางแผนดีๆ ก็ไม่ควรถอนกะปริดกระปรอยทุกๆ 5-6 วันอยู่แล้ว ถ้าสะดวกก็ช่วยให้ขาดทุนจากเงินเฟ้อน้อยลง
กองทุนตราสารหนี้ของบรรดา บลจ.ต่างๆ ที่ขายสะดวกอยู่ตามสาขาธนาคารด้วย ก็เป็นอีกทางเลือกของคนอยากได้ดอกผลมากขึ้นในยุคเงินเฟ้อ ผลตอบแทนจริงอาจขึ้นลงนิดหน่อยตามภาวะดอกเบี้ยและฝีมือผู้จัดการกองทุน แต่ช่วงนี้ดูเหมือว่าผลตอบแทนจะได้ใกล้ 3% หรือมากกว่าแล้ว
การลงทุนในหุ้น
เป็นทางเลือกที่คาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวสูงกว่าทางเลือกอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนมีสูง ในทุก 10 ปี อาจมีขาดทุน 2-3 ปี แต่เฉลี่ยมีผลตอบแทนกว่า 10% ต่อปี
สำหรับคนที่หาความรู้จากการลงทุนได้จนพร้อมลงทุนอยู่แล้ว ปีนี้บรรดาหุ้นธุรกิจได้ส้มหล่นจากการยกค่าแรงและเงินเดือนขึ้น คือบรรดาธุรกิจที่ฐานตลาดอยู่ในประเทศ เช่น ค้าปลีก อาหาร คอนโดที่ไม่ถูกน้ำท่วมรอบก่อน ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ คือกลุ่มที่ธุรกิจน่าจะไปได้ดี (ดูข้อมูลแนะนำรายบริษัทได้ที่ www.saa-thai.org หัวข้อ SAA Consensus)
แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่มีความรู้ทางการลงทุนพอ ขอแนะนำให้ศึกษาหาความรู้จากอบรมสัมมนาไปก่อน และ สำหรับผู้ที่อยากเรียนลึกการวิเคราะห์แบบมีค่าใช้จ่าย สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เตรียมเปิดอบรม “นักวิเคราะห์การลงทุน” ในช่วงไตรมาสที่ 2 สนใจติดตามในเว็บไซต์สมาคมฯ หรือโทร.02-229-2356 ครับ
สัมมนา ดีๆ จากสมาคมนักวิเคราะห์ฯ (มีค่าสัมมนา) นับชั่วโมงต่อใบอนุญาต เจ้าหน้าที่การตลาด บล., ผู้ขายหน่วยลงทุน, นักวิเคราะห์ และนักบัญชี (หัวข้อ 2) ได้แก่
1. "รู้ทันกฎระเบียบใหม่และปัญหาในทางปฏิบัติ พร้อมกรณีตัวอย่าง และแนวทางปฏิบัติในการให้คำ แนะนำและส่งต่อบทวิเคราะห์อย่างถูกต้อง“ เสาร์ 24 มี.ค. 55 เวลา 9-14.30 น. โรงแรม แรมแบรนดท์ (ถนนสุขุมวิท ซอย 18)
2. "ผลกระทบของการลด อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อบริษัท ที่ใช้ Deferred Tax (ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี)" โดย ดร.วรศักดิ์ ทุมมานนท์ วันที่ 5 เม.ย. 55 เวลา 13-16.45 น. ณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดูรายละเอียดได้ที่ www.saa-thai.org หรือ โทร.02-229-2355-6
[Trackback URL for this entry]