Monday, 8 August 2022

เส้นทางชีวิตก่อนเป็นนักลงทุนเต็มตัว

« ลงทุนถูกทางหรือยัง? | Main | อนาคตของประเทศไทย VS เวียตนาม »

เส้นทางชีวิตก่อนเป็นนักลงทุนเต็มตัว

 

            คนรุ่นใหม่ที่สนใจในเรื่องของ การลงทุนจำนวนไม่น้อยมักจะมี ความฝันว่า  วันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จ  กลายเป็นคนที่มี อิสรภาพทางการเงินและเป็นนักลงทุนเต็มตัว  ที่หาเงินเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องทำงานประจำ  แต่ลงทุนหรือซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินหรือทรัพย์สินดิจิทัลเป็นหลัก  ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เขา ชอบและเป็น  อิสรภาพที่แท้จริงที่จะทำให้เขา มีความสุขเพราะไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก  ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นที่ตนเองไม่ชอบ  อยากทำอะไรหรือไปท่องเที่ยวที่ไหนก็ทำได้  ในขณะเดียวกันก็  ไม่รู้สึกเบื่อยังมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นเร้าใจเมื่อตลาดหุ้นหรือสิ่งที่ลงทุนขึ้นลงหวือหวาตลอด

            ผมเองน่าจะถือว่าผ่านจุดที่เป็นความฝันแบบนั้นมานานพอสมควรแล้ว  แต่เป็นการมาถึงที่แทบจะไม่ได้ฝันเลย  จะเรียกว่า มาโดยบังเอิญก็พูดไม่ได้เต็มปากเช่นกัน  เพราะความฝันแบบนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นในหมู่ของคนรุ่นใหม่ไม่นานมานี้เอง  เหตุผลก็เพราะว่า  ตลาดหุ้นหรือตลาดการลงทุนต่าง ๆ  นั้น  เพิ่งจะบูมมาไม่นาน   อาจจะแค่สิบกว่าปีมานี้เอง  แม้แต่คำว่าอิสรภาพทางการเงินเองนั้นก็เป็นคำที่ใหม่มาก  ผมเองก็ไม่เคยรู้จักจนกระทั่งตัวเอง  เกษียณ  จากงานประจำไปแล้ว  แต่ในเมื่อคนรุ่นใหม่สนใจและอยากเดินทางไปสู่ความฝันนี้  ผมก็เลยอยากที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตของผมแบบสั้นที่สุดว่าแต่ละช่วงเป็นอย่างไรเพื่อว่าจะเป็นบทเรียนสำหรับคนที่อยากเดินทางสายนี้

            ผมเองเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมากแต่เนื่องจากเรียนดีใช้ได้และเป็นลูกคนสุดท้อง  จึงมีโอกาสได้เรียนจนจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ  ทำให้สามารถหางานทำที่มีเงินเดือนค่อนข้างดีในยุคเกือบ 50 ปีมาแล้วตอนอายุ 22 ปี  มองย้อนหลังกลับไป  ผมเกิดมาก็มีคุณสมบัติเป็น “VI โดยธรรมชาตินั่นก็คือ  เป็นคนที่ขยันหาเงินตั้งแต่เด็กประหยัดอดออม  เป็นคนที่ชอบคิดและหาเหตุผล  มีวินัยสูง  และที่สำคัญก็คือ  ยากจน

            ช่วงอายุต่อมาคือ 23-32 ปี เป็นเวลา 10 ปี นั้น  ผมทำงานและเรียนปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจด้านการตลาดไปด้วยในประเทศ  และเรียนปริญญาเอกด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกาจนจบและกลับมาเมืองไทยเมื่ออายุ 32 ปี  โดยที่ไม่มีเงินเก็บเลยเพราะต้องใช้ในการเรียนและส่งให้พ่อแม่เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว  ดังนั้น  นี่คือเวลา 10 ปีที่ใช้ไปกับการ สะสมความรู้ที่อาจจะพูดได้อย่างหยาบ ๆ  ก็คือ ที่ไม่ทำเงิน  มองย้อนหลังกลับไป  ผมเสียเวลาเรียนโดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร  ผมไปอเมริกาเพราะอยากจะ เห็นโลกมากกว่าที่จะอยากรวยหรือประสบความสำเร็จ  แต่ลึก ๆ  ก็คือ  อยากจะมีชื่อว่าเป็น ด็อกเตอร์นำหน้าชื่อตัวเอง

            กลับจากอเมริกาหลังจากเรียนจบและใช้เวลา 4 ปี  ผมก็แต่งงานและเข้าทำงานในสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น  ก่อนที่จะย้ายไปทำงานในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เมื่อตลาดหุ้นเริ่มบูมอย่างหนักและบริษัทต้องการคนที่จะเข้ามาเริ่มธุรกิจใหม่โดยเฉพาะการทำ IPO เอาหุ้นเข้าตลาด  การทำงานในช่วงเวลาประมาณ 12 ปี คือตั้งแต่อายุ 33-44 ปี นี้  มองย้อนหลังแล้วก็เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานและดูแลครอบครัวที่มีลูกเล็ก 1 คน  โดยที่งานก็ ไปเรื่อย ๆ  เงินที่ได้รับก็ดีใช้ได้โดยเฉพาะในช่วงอยู่บริษัทหลักทรัพย์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเหมือนว่าจะ  อยู่ตัวแต่ถ้าจะพูดถึง ความสำเร็จในชีวิตนั้น  ก็แทบจะไม่มี  พยายาม ค้นหาตัวตนของตนเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่พบ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตั้งแต่อายุ 28 ที่ เสี่ยงเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาโดย ไม่มีเงินเลย  ผมก็ไม่เคยเสี่ยงกับอะไรอีกเลย  ดังนั้น  ผมคิดว่าผมคงทำงานเป็นลูกจ้างไปจนเกษียณ

            วิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ตอนอายุ 44 ปี ผมก็พบกับ โชคร้าย  ซึ่งมองย้อนหลังไปกลับเป็น โชคดี ที่ผมต้องถูกให้ออกจากงานในฐานะเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทที่มีปัญหาและต้องกู้เงินจากแบ้งค์ชาติ  สถานการณ์ที่อาจจะหางานทำที่เหมาะสมไม่ได้  บังคับให้ผมต้องลงทุนเงิน  ก้อนสุดท้ายเพื่อรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตของคนในครอบครัว  และหลังจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วผมก็เลือก ลงทุนเพื่อชีวิต  แบบ “VI” ในตลาดหุ้น  ทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นกำลัง ล่มสลายคน เลิกเล่นหุ้น  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเหลือแค่ 3-4,000 ล้านบาทต่อวัน

          ผมลงทุนเต็มที่ด้วยเงินทั้งหมดที่เก็บสะสมมา  ส่วนค่าใช้จ่ายประจำวันของครอบครัวนั้น  ผมโชคดีที่ยังมีงานเบา ๆ  เป็นที่ปรึกษาบริษัทสื่อสารให้ทำต่อมาอีก 3 ปี  และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว  ก็กลับมาทำงานในธนาคารพาณิชย์ที่ปรับโครงสร้างเสร็จจากวิกฤติอีก 3-4 ปี  ซึ่งทำให้ผมมีเงินเติมในพอร์ตอีกเป็นเท่าตัว  ส่งผลให้พอร์ตโตขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเทียบกับการเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียว  ผมกลายเป็น  “VI ผู้มุ่งมั่น  และเป็นผู้เผยแพร่หลักการลงทุนแบบ VI ในประเทศไทยคนแรก  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผม ฝันว่าจะเป็น

            ถึงอายุ 51 ปี  พอร์ตการลงทุนของผมก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่เรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินอย่างสมบูรณ์แล้ว  ประกอบกับงานที่ทำก็ถึงจุดที่ผม รับไม่ไหวเพราะมีความเครียดและความเสี่ยงที่สูงมาก  ผมก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำและไม่กลับไปทำอีกเลย  จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 18 ปีแล้ว  ผมคิดว่าการใช้เวลากับการลงทุนเลือกหุ้นของผมนั้นใกล้เคียงกับของเดิมตอนที่ผมยังทำงานประจำอยู่  เวลาที่ไม่ได้ไปทำงานนั้นถูกใช้ไปในการอ่านและศึกษาเรื่องราวอื่น ๆ  เช่น  ประวัติศาสตร์  เรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์และพฤติกรรมของเขา  เรื่องของสังคมและการเมืองที่เราสนใจแต่ไม่เข้าใจอีกมากมาย  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งสิ้น

            ระยะเวลาของการลงทุน เต็มตัว 25 ปี  นับจากปี 2540 ทำให้พอร์ตโตขึ้นมากมาย  เหนือจินตนาการได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง  แต่จริง ๆ  แล้วเป็นการ เปลี่ยนทีละน้อยนั่นคือ  ดีขึ้นเล็กน้อย แบบทบต้นเกือบทุกปี  เช่นเดียวกัน  ความรู้และปรัชญาทางความคิดก็ปรับดีขึ้นทุกปี  ในด้านสังคมก็ได้รับการยอมรับนับถือและมีคนฟังเวลาเราพูดมากขึ้น

แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวันของผมเลย  ผมยังใช้ชีวิตคล้าย ๆ  กับช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเริ่มลงทุนเต็มตัว  นั่นก็คือชีวิตของคน ชั้นกลางค่อนข้างดี  ที่เดินทางไปกินอาหารภัตตาคาร  จ่ายตลาดและทำอาหารกินเองบ้าง  เดินทางบ่อย ๆ  ด้วยรถไฟฟ้า  ออกกำลังตามสวนสาธารณะและไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 2-3 ครั้ง  ดูหนังฟังเพลงในยูทูปและติดตามข่าวสารพัดในสื่อสมัยใหม่  เป็นต้น  โดยที่ความสุขนั้นยังใกล้เคียงของเดิมก่อนที่จะร่ำรวยและแม้แต่ช่วงที่ยังจนอยู่  ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตระหนักว่าเงินซื้อความสุขจริง ๆ  ไม่ได้  แต่ผมก็เชื่อเช่นกันว่าเงินนั้นสามารถซื้อความทุกข์หลายอย่างทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นทิ้งไปได้  และนี่ก็อาจจะเป็นประโยชน์ของเงินจริง ๆ

 

[Trackback URL for this entry]

Your comment:

(not displayed)
Code:
 
 
 

Live Comment Preview:

 
« August »
SunMonTueWedThuFriSat
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031