Monday, 19 April 2021

หุ้นไทยเมื่อไรจะฟื้น

« โควิดรอบ 3 | Main | Just Say No »

หุ้นไทยเมื่อไรจะฟื้น 

            ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติ ต้มยำกุ้งมาจนถึงปัจจุบันและผ่านวิกฤติรุนแรงมาอย่างน้อยอีก 3 ครั้ง คือวิกฤติไฮเท็คในตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2000   วิกฤติซับไพร์มของอเมริกาปี 2008  และล่าสุดคือวิกฤติโควิด-19 ในปี 2020 หรือปีที่แล้วที่ยังถือว่าไม่สงบ-  อย่างน้อยในประเทศไทย  แต่หลังจากวิกฤติทุกครั้งที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาอย่างรุนแรงขนาดอย่างน้อย 40-50%  มันก็ปรับตัวกลับขึ้นมาได้เท่าเดิมและปรับตัวขึ้นต่อไปหลังจากที่วิกฤติผ่านพ้นไปและเศรษฐกิจกลับมาเติบโต  อย่างแรงและโตเกินกว่าช่วงก่อนวิกฤติในที่สุด

            ถ้าจะพูดอย่างถูกต้องในช่วงเวลานี้เกี่ยวกับวิกฤติโควิด-19  เราก็คงจะต้องบอกว่า โลกกำลังจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปแล้ว  ตัวเลขการเติบโตของ GDP ล่าสุดจากประเทศจีนคือ  ในไตรมาศแรกจะโตประมาณ 18.3% ซึ่งเป็นการโตที่สูงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี  จากการตกต่ำลงเนื่องจากปัญหาโควิด-19 ในไตรมาศ 1 ของปีที่แล้ว  และต่อจากนี้เศรษฐกิจก็จะเติบโตเป็นปกติและอย่างรวดเร็วต่อไปตามที่เคยเป็นมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา  ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์เองนั้น  ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศซึ่งรวมถึงเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้นต่างก็ปรับตัวขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ไปมากแล้ว   เช่นเดียวกัน  เศรษฐกิจของสหรัฐเองก็กำลังฟื้นตัว-อย่างแรง  ตัวเลขการบริโภค  การผลิต  การจ้างงานและอื่น ๆ  เติบโตขึ้นมากในไตรมาศแรกและการเติบโตของ GDP โดยรวมน่าจะอยู่ที่ 5-6% ขึ้นไป  ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่สูงมาก  และก็เช่นกัน  ในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวจนสูงกว่าช่วงก่อนโควิดและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว

            แต่เศรษฐกิจของไทยนั้น  กลับดูเหมือนว่าจะยัง  ไม่ฟื้นจากวิกฤติ  ตัวเลขไตรมาศ 1 ปี 2564 คงจะยังไม่ดีนัก  ตัวเลขทั้งปีที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัวถึง 4% ซึ่งเป็น ภาวะปกติก็ถูกปรับให้ลดลงคงเหลือประมาณ 2-3% ทั้ง ๆ  ที่ปีที่แล้ว GDP ติดลบไปถึงกว่า 6% นั่นแปลว่าเศรษฐกิจของเราจะยังไม่กลับไปเท่าเดิมก่อนโควิด-19 ในปี 2562  และถ้าโชคดี  ปี 2565 เรากลับไปโตได้ ตามปกติ ที่ประมาณ 4% เศรษฐกิจของเราก็จะกลับมาเท่ากับเมื่อสิ้นปี 2562 ภายในเวลา 3 ปี  หรือพูดง่าย ๆ  วิกฤติโควิด-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทย หายไป 3 ปี”  ในขณะที่เศรษฐกิจจีนแทบไม่หายเลย  และเศรษฐกิจสหรัฐก็อาจจะหายไปแค่ 1-2 ปี  และนั่นก็สะท้อนมาที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่ดัชนีตลาดหุ้นนั้น  แม้ว่าจะฟื้นขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่เคยตกลงไปเกือบ 40% แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาที่จุดเดิมก่อนโควิด-19 ได้

            คำถามสำคัญก็คือ  เมื่อไรเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและหุ้นจะ  “Turnaround” วิ่งขึ้นไปจนเลยดัชนีช่วงก่อนโควิด-19  และขึ้นต่อไปตามที่ควรจะเป็นตาม การเติบโตปกติของประเทศไทย  ในประเด็นนี้ผมอยากจะย้อนหลังกลับไปดูประวัติศาสตร์ของการฟื้นตัวของดัชนีหุ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2540 สิ่งที่ผมพบก็คือ

            ข้อแรก  การฟื้นตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังวิกฤติทุกครั้ง  จะเป็นการฟื้นตัวที่รุนแรง  และนั่นมักจะเป็นช่วงเวลาที่ปัจจัยทุกอย่างชี้ว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาประมาณไม่เกิน 1-2 ปี  เริ่มตั้งแต่วิกฤติปี 2540 ที่เศรษฐกิจตกลงมา 2 ปี รวมกันถึง 10.4% และดัชนีหุ้นตกต่ำลงมาประมาณ 57% ในช่วงเดียวกัน   หลังจากนั้น  คือในปี 2542 เศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวแต่ก็เป็นไปอย่างช้า ๆ  ในมาตรฐานขณะนั้นที่ 4.6% เนื่องจากกิจการขนาดใหญ่ของประเทศแทบทั้งหมดต้อง ปรับโครงสร้างทางการเงิน ผลก็คือ  ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้นเพียง 36% ในปี 2542

            วิกฤติหุ้นไฮเท็คของสหรัฐในปี 2000 หรือปี 2543 นั้น  เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก  แต่การเติบโตของ GDP ก็ไม่ดีนักอยู่ที่ 4.5%  อาจจะเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเลวร้ายทำให้การส่งออกของไทยไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น  อย่างไรก็ตาม  ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ตกลงมาประมาณ 44% เป็น วิกฤติตลาดหุ้นและการฟื้นตัวในปี 2544 ก็น่าจะดีถ้าไม่ใช่เพราะว่าอเมริกาประสบกับภัยก่อการร้ายกรณีถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ซึ่งน่าจะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจไทย ตกต่ำลงและ GDP เติบโตแค่ 3.4% ซึ่งในสมัยนั้นแทบจะเรียกว่า  เศรษฐกิจถดถอย  ผลก็คือ  ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียง 12.9ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่ออย่างแรงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจริงๆ ในปี 2545 และ 2546 ที่ GDP เติบโตขึ้น 6.1 และ 7.2% ในขณะที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นถึง 17.3% และ 116.6% ตามลำดับ

            วิกฤติซับไพร์มในปี 2008 หรือปี 2551 นั้นทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกลงมา 47.5ตาม วิกฤติเศรษฐกิจของไทยที่ GDP โตเพียง 1.7พอถึงสิ้นปี 2552  แม้ว่าเศรษฐกิจไทยยังติดลบ 0.7แต่ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวแล้วและดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 63.3% เนื่องจากอาจจะเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจผ่านวิกฤติไปได้แน่นอน   ดังนั้น  ปี 2553 จึงเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นไปอีก 40.5สอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ที่เติบโตขึ้นแรงถึง 7.5%

          ผมคงต้องเสริมซักเล็กน้อยว่าในปีต่อมาคือปี 2554  ประเทศไทยก็เกิด  “Mini Crisis” หรือวิกฤติเล็ก ๆ  จากน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้ GDP เติบโตแค่ 0.8%  อย่างไรก็ตาม  มันไม่ได้กระทบกับบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากนัก  กำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ถูกกระทบเลย  ผลก็คือ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงเพียง 0.7% ในปี 2554  และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแรงเติบโตถึง 7.2% ในปี 2555 หลังน้ำท่วมใหญ่อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการที่ต้องซ่อมสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างและเครื่องจักรที่ถูกน้ำท่วม  ดัชนีตลาดหุ้นก็  ฟื้นตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 35.8%

            หลังจากปี 2555 ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มเข้าสู่ บริบทใหม่”  ของการ โตช้าลงอย่างมาก  ปี 2556 เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.7%  และปี 2557 โตเพียง 1.0% ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องมาจากความวุ่นวายทางการเมืองและการรัฐประหาร  และหลังจากนั้น GDP ของไทยก็โตสูงสุดเพียงปีละ 3-4% มาตลอด  การเติบโตของการลงทุนและการส่งออกสินค้าซึ่งเป็น กระดูกสันหลังของไทย  อ่อนแอลงมากเนื่องจากกำลังแรงงานของไทยที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วในระดับต้น ๆ  ของประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย  ทำให้การลงทุนทางตรงจากประเทศพัฒนาแล้วหันเหจากไทยสู่ประเทศ  กำลังพัฒนาใหม่ในย่านอาเซียนที่เริ่มเปิดประเทศเต็มที่  ซึ่งรวมถึงเวียตนามและอินโดนีเซีย ที่เศรษฐกิจโตขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่เศรษฐกิจไทยถดถอยและเติบโตช้าลง  อย่างถาวร”  ว่าที่จริง  ถ้าหากไม่ใช่เพราะนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนที่เริ่มออกนอกประเทศและหลั่งไหลมาสู่ประเทศไทยจำนวนมหาศาลในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา  เศรษฐกิจไทยก็คงจะแย่ยิ่งกว่านั้น

            วิกฤติโควิด-19 นั้น  ที่กระทบหนักมากจริง ๆ  ก็คือ  การท่องเที่ยวเดินทางโดยเฉพาะที่ข้ามประเทศหายไปเกือบหมด  ซึ่งนั่นก็คือ  กระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจใหม่ของไทย  ดังนั้น  เศรษฐกิจของไทยจึงถูกกระทบหนักมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะทำได้น้อยมากหากโควิดในระดับโลกและไทยไม่สงบลงอย่าง ถาวรซึ่งในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ก็ต้องมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลายและทั่วถึงที่จะก่อให้เกิด  ภูมิคุ้มกันหมู่เท่านั้น  ซึ่งสิ่งนี้ก็ต้องใช้เวลา  แต่ผมคิดว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น  และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว  เศรษฐกิจไทยก็น่าจะฟื้นตัวแรงและกลับไปเติบโต  ปกติ  ที่ประมาณ 3-4% ต่อปีได้  และถ้าเป็นอย่างนั้น  ดัชนีตลาดหุ้นก็น่าจะต้องปรับตัวขึ้น แรง”  อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาตลอดหลังภาวะวิกฤติตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา

            ความกังวลของผมในเรื่องของการ “Turnaround” หรือการฟื้นตัวของวิกฤติรอบนี้ก็คือ  เราจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะได้นักท่องเที่ยวปีละ 40 ล้านคนกลับมาเที่ยวในประเทศไทย  วัคซีนที่ใช้กันอยู่นั้นได้ผลดีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในด้านของการป้องกันเชื้อไวรัสที่อาจจะกลายพันธุ์ได้  นอกจากเรื่องของการท่องเที่ยวแล้ว  ผมเองก็ยังห่วงว่า  เวลาที่ หายไปหลายปีเนื่องจากวิกฤติโควิดนั้น  มันได้ทำลายความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรามากน้อยแค่ไหนเมื่อคำนึงถึงว่าคนไทยเราแก่ตัวลงเร็วมากทุกปี  กำลังแรงงานเองก็กำลังลดลงทุกปีโดยที่ความสามารถของคนก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้น   ทั้งหมดนี้ทำให้ผมวิตกว่า  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นรอบนี้อาจจะมาพร้อมกับ  จุดจบที่เราจะต้องหา จุดเริ่มต้นใหม่ของประเทศไทยว่าเราจะไปทางไหน  มิฉะนั้น  เราก็อาจจะไม่สามารถเติบโตต่อไปและประเทศติด กับดักชนชั้นกลาง ตลอดไป  ซึ่งก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหนอีกนานมาก

 

[Trackback URL for this entry]

Your comment:

(not displayed)
Code:
 
 
 

Live Comment Preview:

 
« April »
SunMonTueWedThuFriSat
    123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930