Thursday, 24 November 2016

BREXIT กับ ตลาดหุ้นไทย

« โอกาสการลงทุนท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน | Main | ลงทุน LTF&RMF อย่างชาญฉลาด สร้างผลตอบแทนที่คาดหวังให้เป็นจริง »

BREXIT กับ ตลาดหุ้นไทย

โดย บลจ. ทิสโก้

ผ่านไปแล้วครึ่งปี สำหรับปี 2559  เป็นอีกปีที่ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงตลาดโภคภัณฑ์ ในช่วงไตรมาส 1 ความผันผวนเกิดจากวิกฤติราคาน้ำมันตกต่ำ ส่งผลต่อความไม่มั่นใจต่อความสามารถชำระหนี้ของบริษัทน้ำมัน รวมถึงประเทศที่พึ่งพารายได้ในการส่งออกน้ำมัน และเกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงของบรรดากองทุนความมั่งคั่ง Sovereign Wealth Fund) โดยเฉพาะกองทุนความมั่งคั่งของประเทศทางแถบตะวันออกกลาง ช่วงนั้น ราคาทองขึ้น ดอลล่าห์สหรัฐและเงินเยนแข็ง Yield พันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง อย่างไรก็ดีระดับราคาน้ำมันเริ่มฟื้นตัว ความกังวลเริ่มคลี่คลาย นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจ เม็ดเงินเริ่มไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ราคาหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้น  ราคาทองลง ดอลล่าห์สหรัฐและเงินเยนเริ่มกลับมาอ่อนค่า เป็น pattern ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ยามที่นักลงทุนมีความกล้า และยามที่นักลงทุนมีความกลัว แต่มาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบกลางปี ก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกจากผลของการทำประชามติของอังกฤษ ซึ่งผลลัพท์คืออังกฤษต้องการออกจาก EU  จริงๆแล้วข่าวเรื่องการทำประชามติ นักลงทุนรับรู้มาล่วงหน้าหลายเดือน  และผลของโพลก็มีความใกล้เคียงกันมากระหว่างออกกับไม่ออก แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าท้ายที่สุดแล้วอังกฤษจะมีบทสรุปในการออกจาก EU จริงๆ  ส่งผลให้ตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนอย่างมากอีกครั้งในวันที่เริ่มจะทราบผลการลงมติ ตลาดหุ้นยุโรปบางประเทศลงมากกว่า 10% ยูเอสลง 3-4%  ญี่ป่นลงประมาณ 8% เอเชียอื่นๆ ลงประมาณ 2-3% ไทยเราเองก็ลงแต่ไม่ถึง 2% ถือว่าค่อนข้างแข็งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

หลังเกิด BREXIT ก็จะมีคนตั้งคำถาม แล้วจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน  จริงๆแล้วหลังจากได้ผลของการทำประชามติ ยังคงมีกระบวนการอีกนานพอสมควร คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ก่อนที่จะมีผลจริงๆ   ในช่วงนี้อังกฤษถือได้ว่ายังคงอยู่ใน EU อยู่  ผลกระทบต่อไทย คาดว่าจะอยู่ในกรอบค่อนข้างจำกัด สำหรับภาคการส่งออก จากการที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างมาก แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าไทยที่แพงขึ้นเมื่อนำเข้าไปในอังกฤษ ส่วนข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษก็คงต้องมีการคุยกันใหม่  แต่ด้วยความโชคดี เราไม่ได้พึ่งพาการส่งออกไปยังอังกฤษมากนัก  โดยปัจจุบันเรามีการส่งออกไปยังอังกฤษแค่เพียงไม่ถึง 2% ของยอดส่งออกทั้งหมด  ขณะที่ส่งออกไปยังยุโรปอื่นๆมีประมาณ 8% ของยอดส่งออกโดยรวม ส่วนนี้คงไม่กระทบมากนัก สำหรับภาคการท่องเที่ยวกีคงจะมีผลกระทบ จากการที่คนอังกฤษมาเที่ยวไทยจะมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นจากผลของค่าเงินปอนด์ และกำลังในการใช้จ่ายของเค้าอาจจะแย่ลง แต่ผลกระทบคงไม่มากนัก เนื่องจากในช่วงหลังเราพึ่งพานักท่องเทียวในเอเชีย โดยเฉพาะจีนเป็นหลัก ผลกระทบต่อภาคสถาบันการเงินไทยก็คงจะจำกัดเช่นเดียวกัน เนื่องจากเราคงไม่ได้มีธุรกรรมอะไรกับทางนั้นมากนัก 

โดยสรุปผลกระทบจาก BREXIT ที่มีต่อประเทศไทยนั้นไม่น่าจะมาก แต่ในเชิงผลกระทบต่อตลาดอาจจะมีบ้าง แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยก็ถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นๆ  ในวันที่ตลาดตื่นตระหนกเรื่อง BREXIT นั้น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไม่ถึง 2% น้อยกว่าประเทศอื่นๆ และสามารถดีดตัวขึ้นสูงกว่าเดิมอีกในวันถัดๆมา  สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทย  สภาพเศรษฐกิจและการเมืองของไทยก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น  ภาครัฐเร่งผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ บวกกับการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  การท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้ดี ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ เอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งยังให้เงินปันผลในอัตราที่ดี  ตลาดหุ้นไทยจึงยังคงมีความน่าสนใจโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นกลางและเล็กที่มีอัตราการเติบโตสูง แต่ค่อนข้าง laggard เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ที่ perform ได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก  กลุ่มกองทุนที่เน้นการลงทุนในกลุ่มหุ้นกลางและขนาดเล็กจึงน่าจะเป็นดาวเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง  ถ้านักลงทุนท่านใดสนใจมองหากองทุนที่มีนโยบายแบบนี้สามารถติดต่อ บลจ.ทิสโก้ ได้ที่เบอร์ 02-633-6000 กด 4 

 

Posted by mutualfund at 11:50 AM in Mutual Fund

 

[Trackback URL for this entry]

Your comment:

(not displayed)
Code:
 
 
 

Live Comment Preview:

 
« November »
SunMonTueWedThuFriSat
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930