Monday, 21 July 2014

ปัจจัยพื้นฐาน มูลค่ายุติธรรม และความคาดหวัง

« ความสวยงามของหุ้นขนาดเล็ก (Small is Beautiful) | Main | เรียนรู้จากประวัติศาสตร์... 12 ปีประเทศไทยกับกองทุน FIF »

มูลค่ายุติธรรม (Valuation)

หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยว่าค่า P/E ของหุ้นแต่ละตัวควรอยู่ที่เท่าไร หุ้นบางตัวบางเวลาที่ดี ๆ อาจมีอัตรา P/E เพิ่มขึ้นไปได้ถึงกว่า 30 เท่า และหุ้นตัวเดียวกันบางเวลาที่อยู่ในช่วงวิกฤตก็สามารถมี P/E ปรับตัวลงต่ำกว่า 10 เท่าเช่นกัน สมมติว่ามีหุ้นบริษัทหนึ่งมีกำไรต่อหุ้น 1 บาท หากเราคิดที่ช่วง P/E 10 – 30 เท่าก็เท่ากับว่าราคาหุ้นที่เป็นไปได้นั้นอยู่ตั้งแต่ 10 30 บาท ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่กว้างมาก แล้วเราควรจะกำหนดเป้าหมายการลงทุนอย่างไรดี บ่อยครั้งที่ค่า P/E จะถูกนำไปใช้เปรียบเทียบกับหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ P/E ของตลาดหุ้นไทยก็ถูกนำไปเปรียบเทียบกันภูมิภาค ถ้าค่า P/E ต่ำกว่าก็เรียกว่าถูกว่า ถ้า P/E สูงกว่าก็เรียกว่าแพงกว่า แล้ว P/E ของหุ้นที่เราศึกษาควรจะถูกกว่าหรือแพงกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกัน ผมแนะนำให้ใช้ ปัจจัยพื้นฐาน และ ความคาดหวัง เป็นตัวช่วยกำหนดครับ

ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental)

ราคาหุ้น ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาวตามกำไร เป็นประโยคหนึ่งที่ผมชอบใช้ในการอธิบายการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น สิ่งหนึ่งที่จะกำหนดว่า P/E ของหุ้นจะถูกหรือจะแพงก็มาจากการเติบโตของกำไร ถ้าบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรมาก โดยมากค่า P/E ก็จะมีแนวโน้มสูง กลับกันถ้าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่ำค่า P/E ก้มักจะต่ำเช่นกัน

อย่างไรก็ตามตัวเลขการเติบโตของกำไรไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานหลักเพียงอย่างเดียว คุณภาพของธุรกิจ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ P/E ถูกแพงได้เช่นกัน มีหลายบริษัทที่กำไรเป็นตัวเลขเติบโตไม่ได้สูงมากนักเช่น 10 – 15% แต่กลับมีอัตรา P/E สูงถึง 25 30 เท่า ส่วนนึงมาจากการที่นักลงทุนให้ค่ากับ คุณค่าของธุรกิจ บริษัทนั้นอาจอยู่ในธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว มีตราสินค้าที่แข็งแกร่ง หรืออาจเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม ดังนั้นการที่ตัวเลขการเติบโตของกำไรบางปีจะต่ำไปบ้าง นักลงทุนก็ยังคงชื่นชอบที่จะถือหุ้นบริษัทคุณภาพดีเหล่านี้

ความคาดหวัง (Expectation)

การปรับเพิ่ม/ลดประมาณการการเติบโตของกำไรโดยนักวิเคราะห์เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้นเช่นกัน แน่นอนว่าวันที่หลาย ๆ นักวิเคราะห์เข้ามาปรับลดประมาณการในวันเดียวกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในเชิงลบ หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง บริษัทที่บรรดานักวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อทั้งตลาดก็อาจเป็นหุ้นที่มี ความคาดหวังสูง โดยนักลงทุน หากผลงานไม่ทำได้อย่างที่คาดก็อาจเกิดการปรับลดประมาณการ หรือเกิด ความผิดหวัง ได้เช่นกัน

ในทางกลับกันหากเราเจอบริษัทที่นักวิเคราะห์แนะนำ ขาย หรือ ถือ เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เรามั่นใจว่า ปัจจัยพื้นฐาน ดีและมี มูลค่ายุติธรรม ที่ไม่แพง การลงทุนในบริษัทที่ ความคาดหวังต่ำ แต่ พื้นฐานดี ก็สามารถสร้างกำไรได้อย่างดี โดยเฉพาะในวันที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไร หรือปรับคำแนะนำจาก ขาย เป็น ซื้อ

ทั้งหมดก็เป็นแนวทางง่าย ๆ ในการวิเคราะห์หุ้นโดยใช้ 3 ปัจจัยที่นำมาเสนอในวันนี้ครับ สุดท้ายก็ขอแนะนำให้ท่านนักลงทุนใช้ทั้ง 3 ปัจจัยร่วมกันในการวิเคราะห์ และประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ
Posted by jessada at 5:38 PM in Investment Talk

 

[Trackback URL for this entry]

Your comment:

(not displayed)
Code:
 
 
 

Live Comment Preview:

 
« July »
SunMonTueWedThuFriSat
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031