Wednesday, 24 October 2018
20 ปีของหุ้น PE ร้อยเท่า NETFLIX / โดย คนขายของ
« วิกฤตขนาดไหน? / โดย คนขายของ | Main | จุดอ่อนของ ROE / โดย คนขายของ »NETFLIX เกิดจากวิศวกรทางด้านคอมพิวเตอร์สองคนชื่อ Reed Hastings และ Marc Rudolph ร่วมกันก่อตั้งบริษัทให้บริการให้เช่าแผ่น DVD ทางอินเตอร์เน็ตพร้อมส่งแผ่นถึงบ้านทางไปรษณีย์ หลังจากใช้เวลาเตรียมการเกือบหนึ่งปี Netflix.com ได้เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 14 เมษายน ปี 1998 หลังจากให้บริการแบบคิดค่าบริการตามจำนวนแผ่นหนังที่ให้ยืมแบบร้านให้เช่าทั่วไปในสมัยนั้นไม่นาน ในปี 1999 Netflix ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นรากฐานของการดำเนินธุรกิจ Online Streaming ในทุกวันนี้ คือการเปิดให้สมัครสมาชิกซึ่งมีค่าบริการรายเดือน แต่สามารถดูหนังได้แบบไม่อั้น กลายเป็นจุดพลิกผันทำให้บริษัทเติบใหญ่ขึ้นมา จากที่เคยมีมูลค่าหนึ่งหมื่นล้านบาทในปี 2002 ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทนำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาด จนมีมูลค่าในปัจจุบันมากกว่า 5.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเกือบ 30% ของตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด ทำไมบริษัทสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างสูงทั้งที่ถูกรายล้อมด้วยคู่แข่งมากมาย? แล้วในอนาคตบริษัทจะยังสวยหรูอย่างที่ผ่านมาหรือไม่?
Blockbuster (BBI) กิจการร้านให้เช่าม้วนวีดีโอและแผ่นดีวีดี ผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัท Viacom บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านสื่อของอเมริกา ทำการขายหุ้น IPO ในปี 1999 ทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 2.63 พันล้านเหรียญ ในปีนั้น Netflix เพิ่งเปิดดำเนินการได้หนึ่งปี ผลการดำเนินงานยังขาดทุน ยิ่งเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีแตกในปี 2000 ทำให้บริษัท startup อย่าง Netflix ระดมทุนได้ยากยิ่งขึ้น ผู้ก่อตั้งจึงเริ่มคิดจะ
ขายกิจการให้กับคู่แข่งที่แข็งแรงกว่ามากอย่าง BBI แต่ด้วยความที่ Netflix ยังเล็กมากในตอนนั้น และราคาหุ้นของบริษัทอินเตอร์เน็ตลงกันอย่างถล่มทลาย ทำให้ผู้บริหาร BBI ปฏิเสธการซื้อกิจการ Netflix ที่มูลค่าราว 50 ล้านเหรียญ เป็นเหตุให้ Netflix ต้องดิ้นรนหาทุนและได้ตัดสินใจเอาหุ้นออกขาย IPO ในปี 2002
เงินที่ได้จากการขายหุ้นราว 80 ล้านเหรียญได้ช่วยให้ Netflix ขยายงานได้อย่างรวดเร็วจนมีสมาชิกทะลุ 1 ล้านรายในปี 2003 ซึ่งเป็นปีที่ Netflix มีกำไรสุทธิเป็นครั้งแรก ในปี 2004 จำนวนสมาชิกของ Netflix โตอย่างก้าวกระโดดเป็น 3.3 ล้านราย ปิดปีด้วยรายได้ 500 ล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่ถึง 10% ของที่ BBI ทำได้ในปีเดียวกัน แต่ทั้งลูกค้าและนักลงทุน เริ่มเห็นศักยภาพของ Netflix รายได้ของ Netflix ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2006 จำนวนสมาชิกมีมากถึง 8.8 ล้านคน ในปี 2007 บริษัทประกาศให้บริการ streaming VDO ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น กำไรบริษัทไม่ค่อยโตแม้รายได้ยังคงเติบโต ในปี 2010 เริ่มออกสู่ตลาดต่างประเทศโดยเริ่มที่แคนนาดาเป็นประเทศแรก ปัจจุบัน Netflix ให้บริการใน 190 ประเทศทั่วโลก กล่าวกันว่ามีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่ไม่มี Netflix ให้บริการ คือ จีน เกาหลีเหนือ และ ซีเรีย ปัจจุบัน Netflix มีจำนวนสมาชิกถึง 130 ล้านคน มีรายได้ในปี 2017 เกือบ 12,000 ล้านเหรียญ สำหรับในประเทศไทย มีการประมาณว่าจำนวนสมาชิกน่าจะเกินสองแสนรายในปีนี้
การที่ Netflix โตเร็วขนาดนี้ จะมีคู่แข่งบ้างไหม? จากอดีต 20 ปีของ Netflix ชีวิตต้องต่อสู้มาตลอด เริ่มจากสู้กับ BBI จนกระทั่ง BBI ประกาศล้มละลายในปี 2010 แต่การจับมือของสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Fox, Comcast และ AT&T ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Online Streaming ชื่อ HULU ในปี 2007 และการกระโดดเข้าสู่การให้บริการดูหนังและซีรี่ออนไลน์ของ Amazon Prime ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้การต่อสู้ในตลาดนี้เข้มข้นมากขึ้น ถึงกระนั้น ข้อมูลจาก CNBC เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ในสหรัฐอเมริกา Netflix ยังคงสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ด้วยส่วนแบ่งการตลาดถึง 51% Amazon อยู่ที่ 33% และ Hulu อยู่ที่เพียง 14%
ทำไมคนส่วนใหญ่ชอบ Netflix? ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า เหตุผลหลักคือความสะดวกและความง่ายของการใช้ระบบของ Netflix รองลงมาคือเรื่องราคาที่ดูสมเหตุสมผล และอันดับสามคือ มีหนังและซีรี่ให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ในส่วนเรืองที่ Netflix สร้าง content ที่เป็นของตนเองจนโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นซีรี่เรื่องการเมืองอย่าง House of Cards หรือ เรือง Orange is the new black กลับไม่ใช่ประเด็นหลักอย่างที่บางคนคาดการณ์
แต่กระนั้น ความแข่งแกร่งของ Netflix อาจจะเริ่มถูกสั่นคลอนบ้าง เมื่อ Disney ประกาศซื้อกิจการของ 21st Century Fox เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ Disney เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ชั้นนำจำนวนมาก นอกจากนั้น หุ้นของ HULU ซึ่ง FOX ถืออยู่ 30% เมื่อรวมกับของเดิมที่ Disney มีอยู่ก็จะกลายเป็น 60% ทำให้ Disney มีสิทธิ์ในการบริหารเบ็ดเสร็จในกิจการ HULU เราคงเห็นการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในไม่ช้า แต่เนื่องจากตลาด Online Streaming ยังคงเติบโตอยู่ และ ค่าสมาชิกรายเดือนที่แต่ละบริษัทเรียกเก็บจากสมาชิกเดือนละ 8-10 เหรียญ ก็นับว่าย่อมเยาว์มากในยุคสมัยที่กาแฟแล้วละ 5 เหรียญยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จึงคาดการณ์ว่ากำไรของทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงเติบโตต่อไป แต่ในระดับที่ PE 166 เท่า ควรเข้าซื้อลงทุนไหม นักลงทุนแต่ละท่านคงต้องพิจารณาเอง
[Trackback URL for this entry]